สารอาหารจำเป็นสำหรับลูกน้อยวัย 1-3 ปี

Best-food-for-kids

         ทำไมเด็กในช่วงวัย 1-3 ปี จึงเป็นช่วงวัยสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ นั่นเพราะวัย 1-3 ปี เป็นช่วงเวลาที่สมองกำลังเจริญเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว เป็นช่วงวัยของการเคลื่อนไหว รวมถึงพัฒนาการด้านต่าง ๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งถ้าเด็กวัยนี้ได้รับการดูแลที่ดีและเหมาะสมทั้งเรื่องอาหาร และการส่งเสริมพัฒนาการต่าง ๆ ที่ถูกต้อง ก็จะทำให้พวกเขาเป็นเด็กที่ฉลาด มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจนั่นเอง ซึ่งอาหารคือสิ่งสำคัญมากที่จะเป็นเหมือนกำลังสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กน้อยวัยนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารหลัก 5 หมู่ที่ครบถ้วนตามโภชนาการ เพราะถ้าหากเด็กวัย 1-3 ปี ขาดสารอาหารโดยเฉพาะการขาดวิตามินแร่ธาตุแล้ว จะทำให้การเจริญเติบโตที่ควรเป็นไปตามวัยไม่สมดุล ส่งผลให้เด็กอ้วนเกินไปหรือผอมเกินไป รวมถึงแคระแกร็นและมีไอคิวต่ำได้

วิตามินและแร่ธาตุ 7 ชนิดที่วัย 1-3 ปีในประเทศไทยได้รับไม่เพียงพอ

          เด็กวัย 1-3 ปี เป็นช่วงวัยที่มีพัฒนาการทางด้านร่างกายเพิ่มขึ้นและดีขึ้น เรียกว่าเป็นช่วงวัยที่มีการเจริญเติบโตมากที่สุดอีกช่วงหนึ่งของชีวิต เพราะเป็นวัยที่ร่างกายเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นและมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง และปีนป่าย ซึ่งกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้เด็กวัย 1-3 ปี จะใช้พลังงานประมาณ 1,000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน ซึ่งแน่นอนว่า สารอาหารจึงมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ต่อเด็กวัยนี้มาก ที่จะต้องได้รับสารอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ และต้องได้รับอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและต่อวัยของพวกเขาด้วย เพราะถ้าเด็กวัยนี้ไม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างเพียงพอแล้วละก็ จะส่งผลให้ภาวะโภชนาการเด็กขาดสมดุล หรือที่เรียกันง่ายๆ ว่า “ขาดสารอาหาร” นั่นเอง โดยเฉพาะการขาด วิตามินแร่ธาตุ อย่างต่อเนื่อง ก็จะกระทบต่อการเจริญเติบโตทั้งทางสมองและร่างกาย ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของเด็กวัย 1-3 ขวบในประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลก โดยข้อมูลจากงาน ประชุมวิชาการโภชนาการแห่งชาติ ครั้งที่ 11 อาหารสุขภาพเพื่อชีวิต ในหัวข้อ นมสำหรับเด็กเล็กกับภาวะโภชนาการและการเจริญเติบโตพบว่า เด็กวัย 1-3 ขวบมักจะขาดสารอาหารประเภทวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุที่เด็กวัย 1-3 ปีในประเทศกำลังพัฒนาได้รับไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและวัยของพวกเขาก็คือ วิตามิน A, วิตามิน C, วิตามิน D, โฟเลต, แคลเซียม, เหล็ก และไอโอดีน ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านสมอง สติปัญญา และการเรียนรู้แล้ว ทางร่างกายก็จะส่งผลให้เด็กๆ มีน้ำหนักตัวน้อย ตัวเล็กกว่าปกติ มีภูมิต้านทานโรคต่ำ ทำให้เกิดโรคหรือติดเชื้อต่างๆ ได้ง่ายขึ้น นับว่าเป็นข้อมูลที่น่ากังวลมากเลยทีเดียว

10

สัญญาณเตือนภัย เด็กวัย 1-3 ปี กำลังขาดสารอาหาร

         อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าเด็กวัย 1-3 ปี เป็นช่วงวัยที่สำคัญของการเจริญเติบโตที่จะต้องได้รับสารอาหารอย่างเหมาะสมและครบถ้วน โดยเฉพาะ โปรตีน (Protein) และ สารอาหารที่ให้พลังงาน (Energy) ผู้ปกครองจึงควรใส่ใจเรื่องอาหารของเด็ก ๆ วัยนี้มากเป็นพิเศษ เพราะไม่อย่างนั้นจะทำให้เด็ก ๆ เกิด ภาวะขาดสารอาหาร ได้ง่ายๆ ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อเด็กๆ เกิดภาวะขาดสารอาหารก็จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตทั้งทางสมองและร่างกาย ซึ่งผู้ปกครองหลายท่านอาจจะไม่รู้ว่า เด็กๆ กำลังอยู่ใน ภาวะขาดสารอาหาร หรือไม่ ซึ่งมีวิธีสังเกตได้ไม่ยาก ลองเช็คลิสต์ 10 สัญญาณเตือนภัยจากพฤติกรรมเหล่านี้ของเด็กๆ ดูกัน จะได้แก้ไขได้ทันเวลา

1. เด็กมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ
2. เด็กมีอาการตาเหลือง
3. เด็กมีผิวหนังที่แห้งกร้าน เหี่ยวย่น
4. เด็กมีเส้นผมบาง ผมขาดง่าย เส้นผมดูไม่เเข็งแรง
5. เด็กแก้มตอบ และตาลึก
6. เด็กมีอาการซึมเศร้า ไม่สดใสร่าเริงสมวัย
7. เด็กจะรู้สึกกระสับกระส่าย และไฮเปอร์อยู่ตลอดเวลา
8. เด็กไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้าง
9. เด็กกินอาหารยาก มีอาการเบื่ออาหาร
10. เด็กมีภาวะพูดช้ากว่าที่ควรจะเป็น

malnutrition

เช็คลิสต์ 8 พฤติกรรม
การกินที่ส่งผลต่อภาวะขาดสารอาหารในเด็กวัย 1-3 ปี

       นอกจากปัญหาทางเศรษฐกิจของครอบครัว, ปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองละเลยเรื่องอาหารการกินของเด็ก ๆ, การต้องออกไปทำงานนอกบ้านและไม่มีเวลาเตรียมอาหารให้เด็ก ๆ ที่ทำให้เกิด ภาวะขาดสารอาหาร ในเด็กวัย 1-3 ปีแล้ว อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญก็มาจาก พฤติกรรมการกินอาหารของเด็กๆนั่นเอง ลองสังเกตดูว่าเด็กๆ วัย 1-3 ปีที่กำลังอยู่ในการดูแล มีพฤติกรรมการกินในลักษณะนี้หรือไม่ อย่างไร เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กๆ ขาดสารอาหารได้ในอนาคตอันใกล้นี้เลยล่ะ

1. เลือกกินแต่อาหารที่ตัวเองชอบเท่านั้น แม้จะมีอย่างอื่นที่น่ากินและให้เลือกหลากหลายอยู่ตรงหน้าก็จะไม่สนใจ

2. กินน้อยมาก กินเพียงเล็กน้อยก็อิ่มแล้ว แม้อาหารจะหน้าตาน่ากินและรสชาติดีมากแค่ไหนก็ตาม

3. เขี่ยอาหารที่ตัวเองไม่ชอบทิ้ง แม้จะมีอาหารหลายอย่างในจานเดียวกัน เด็ก ๆ ก็คอยเขี่ยอาหารบางอย่างออก

4. จะกินแต่อาหารที่ซ้ำ ๆ เหมือนกับทุกวัน แม้จะทำเมนูที่หลากหลาย แต่จะเรียกร้องอาหารชนิดเดิมเท่านั้น

5. ชอบเบือนหน้าหนีเมื่อมีอาหารมาวางตรงหน้า หรือมักจะหันไปทำกิจกรรมอย่างอื่นแทนเมื่อถึงเวลากินอาหาร

6. กินขนมหวานมากเป็นพิเศษ และมักจะปฏิเสธการกินผักผลไม้ เห็นผักผลไม้เหมือนกำลังให้กินยาขมเลยทีเดียว

7. ชอบอมข้าวอมอาหารค้างไว้ในปากเป็นเวลานาน ๆ ไม่ยอมเคี้ยวอาหารง่าย ๆ และไม่ยอมกลืนอาหาร

8. ใช้เวลากินอาหารแต่ละมื้อช้ามาก ทั้งเคี้ยวช้า กินทีละน้อย และใช้เวลานานเป็นชั่วโมง

“สารอาหารสำคัญที่ขาดไม่ได้” สำหรับเด็กวัย 1- 3 ปี

         การรู้จักเลือกสรรอาหารที่มี สารอาหารสำคัญสำหรับเด็กวัย 1-3 ปี นั้น จะช่วยให้เด็ก ๆ ได้รับสารอาหารที่ดี มีคุณภาพ มีความเหมาะสม และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและต่อวัยของพวกเขา ทำให้เด็กๆ มีร่างกายที่แข็งแรงและมีพัฒนาการที่ดีในทุกด้าน คุณพ่อคุณแม่หลายท่านมักจะกังวลว่าลูกน้อยจะกินอาหารยากหรือไม่ยอมกินอาหารเลย จึงใส่ใจเรื่องหน้าตา สีสัน กลิ่น และรสชาติของอาหารมากเกินไป จนลืมนึกถึงคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับวัยของเด็กๆ ไป ซึ่งควรเป็นสิ่งแรกที่ต้องนึกถึงด้วยซ้ำ เรามาดูกันว่า สารอาหารสำคัญ ที่ดีต่อสุขภาพของเด็กๆ วัย 1-3 ปีนั้นจะมีอะไรบ้าง

1 เมนูอาหารที่ให้โปรตีน เด็กวัย 1-3 ปี ร่างกายจะต้องได้รับโปรตีนวันละ 20-25 กรัม หรือประมาณ 1.8 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เพราะเป็นเหมือนอาหารวิเศษที่จะช่วยสร้างการเจริญเติบโตให้กับเด็กๆ ตั้งแต่กระดูก, กล้ามเนื้อ และเส้นผม นอกจากนั้นโปรตีนยังช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อใหม่, ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ชำรุด และควบคุมการทำงานของปฏิกิริยาเคมีในร่างกายอีกด้วย และโอเมก้า 3 ที่ได้จากอาหารประเภทปลาทะเล จะมีส่วนช่วยพัฒนาสมองและระบบประสาทสัมผัสซึ่งกำลังเติบโตมากของเด็กในช่วงวัยนี้

แหล่งอาหารโปรตีนสูง ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อปลา ไข่ ถั่วต่าง ๆ ธัญพืช และนมสด เป็นต้น

2 เมนูอาหารที่มีวิตามินแร่ธาตุหลากหลาย วิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญสำหรับเด็กวัย 1-3 ขวบ ก็คือ วิตามิน A, วิตามิน B รวม, วิตามิน C, วิตามิน D, วิตามิน B6, โฟเลต, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, เหล็ก, ไอโอดีน และสังกะสี ในช่วงเวลาที่เด็กๆ ทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งการเดิน วิ่ง ปีนป่าย ร่างกายจะสูญเสียสังกะสีจากมาทางเหงื่อและทางปัสสาวะ ซึ่งถ้าเด็กๆ ได้รับสารอาหารเหล่านี้ไม่เพียงพอก็จะทำร่างเหนื่อยล้าอ่อนเพลียได้ ส่วนธาตุเหล็กนั้นมีความสำคัญต่อการสร้าง ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ที่นำพาออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งเด็กวัยนี้ควรได้รับในปริมาณ 10-18 มิลลิกรัมต่อวัน รวมถึงแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยในการสร้างกระดูกและฟัน เป็นต้น

แหล่งอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุสูง ได้แก่ ผลไม้สดต่าง ๆ เช่น มะละกอสุก, กล้วยน้ำว้า, ฝรั่ง, ส้ม และมะเขือเทศสุก ซึ่งวิตามินในผลไม้เหล่านี้จะมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่จะช่วยบำรุงสมองและทำให้ระบบประสาททำงานได้ดีขึ้น สามารถสั่งงานให้ร่างกายส่วนต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ ส่วนวิตามิน B6 ที่มีอยู่ในกล้วย, ถั่ว, มันฝรั่ง รวมถึงเนื้อปลาและไข่นั้นจะมีส่วนช่วยควบคุมการทำงานของสมองและเนื้อเยื่อ และสารอาหารที่มีแคลเซียมสูงก็จะอยู่ในนมและผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งเด็กวัย 1-3 ปี สามารถดื่มนมวัวชนิดธรรมดาได้แล้ว คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลว่าเด็กๆ จะอ้วน เพราะเด็ก ๆ วัยนี้อยู่ในช่วงที่ใช้พลังงานตลอดทั้งวัน ร่างกายจะเผาผลาญได้หมดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เด็กวัยนี้ควรดื่มนมเป็นประจำทุกวันจะดีที่สุด และควรดื่มนมให้ได้วันละไม่ต่ำกว่า 3/8 ออนซ์ จึงจะได้รับแคลเซียมที่พอเพียงต่อการสร้างกระดูก หรือเมื่อเด็กๆ อายุได้ 2 ขวบ คุณพ่อคุณแม่จะเปลี่ยนให้ดื่มนมไขมันต่ำหรือนมพร่องมันเนยแทนก็ได้เช่นกัน ซึ่งในนมจะมีสารอาหารที่ดีที่เหมาะสมต่อร่างกายของเด็กๆ มากมาย โดยเฉพาะแคลเซียมที่จะช่วยสร้างกระดูกให้หนาและแข็งแรง ส่วนธาตุเหล็กก็จะพบมากในอาหารประเภทตับ และถั่วต่างๆ ส่วนแมกนีเซียมก็จะอยู่ในผักใบเขียวทุกชนิด และสังกะสีก็จะพบมากในอาหารทะเล, ไข่ และจมูกข้าวสาลี ส่วนวิตามินB12 ที่มีมากในเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา ก็จะช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองอีกด้วย นอกจากนั้น โฟเลตที่อยู่ในผักใบเขียวต่างๆ และมีในตับ, เห็ด และถั่วเมล็ดแห้ง ก็จะส่วนช่วยการสร้างส่วนประกอบของเซลล์และเม็ดเลือดแดง รวมถึงป้องกันอาการซีดในเด็กวัยนี้ได้อีกด้วย

3 เมนูอาหารที่ให้พลังงาน แม้ว่าเด็กวัย 1-3 ปี จะใช้พลังงานวันละประมาณ 1,000 กิโลแคลอรี่ แต่เด็กๆ ควรได้รับพลังงานวันละประมาณ 1,300 กิโลแคลอรี่ หรือประมาณ 100 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และที่สำคัญ คุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึงถึงกิจกรรมต่างๆ ที่เด็กๆ ทำในแต่ละวันด้วย เช่น ลูกเป็นเด็กที่ชอบทำกิจกรรม ชอบเล่นมากๆ หรือเป็นเด็กที่เล่นน้อยและชอบนอน เป็นต้น เพราะจะได้เพิ่มสารอาหารที่ให้พลังงานแก่พวกเขาได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้การเจริญเติบโตสมวัยของเด็ก ๆ เป็นไปอย่างมีคุณภาพนั่นเอง

แหล่งอาหารที่ให้พลังงานสูง ได้แก่ ข้าว, แป้ง และไขมัน โดยส่วนใหญ่เป็นพลังงานที่มาจากคาร์โบไฮเดรตที่มีอยู่มากในข้าว, แป้ง, ขนมปัง, หัวมันต่างๆ, เส้นก๋วยเตี๋ยว และน้ำตาล ซึ่งเด็กวัย 1-3 ปี ไม่ควรให้อาหารประเภทไขมันอิ่มตัวหรือน้ำตาล แต่ควรเป็นไขมันควรเป็นไขมันจากพืช ไม่ควรเป็นไขมันจากสัตว์ และควรปรับอาหารให้มีความหลากหลาย เช่น ใช้คาร์โบไฮเดรตจากมักกะโรนี, เส้นก๋วยเตี๋ยว หรือขนมปัง รวมถึงต้องเป็นอาหารที่กินง่ายลื่นคอ ไม่แข็งหรือแห้งจนเกินไปอีกด้วย  

ผักและผลไม้ ผักและผลไม้นั้นเป็นอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็กๆ วัย 1-3 ปีมาก ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบรับประทานผักและผลไม้ โดยเฉพาะผัก เพราะมีกลิ่นและรสชาติที่เด็กๆ รู้สึกว่าไม่อร่อย เหม็นหื่น ทั้งที่ในผักนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นและสำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกายของเด็กวัยนี้มาก เพราะมี วิตามิน เกลือแร่ และแร่ธาตุต่างๆ ที่หลากหลายที่จำเป็นต่อร่างกาย และมีไฟเบอร์ที่ช่วยระบบขับถ่ายอีกด้วย ส่วนผลไม้ก็อุดมไปด้วยสารอาหารจำพวกวิตามินต่างๆ ที่จะช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่ร่างกาย และความหวานของผลไม้ที่ได้จากน้ำตาลฟลุกโตสยังช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นแต่ไม่มีพลังงานเกินความจำเป็นอีกด้วย

ผักผลไม้ที่เหมาะกับเด็กวัย 1-3 ปี เช่น กล้วยสุก, มะละกอสุก, มะม่วงสุก โดยให้เลือกเป็นผลไม้ชนิดที่มีความนิ่ม ลื่น กินง่าย เคี้ยวง่าย กลืนง่าย เป็นหลัก และคุณพ่อคุณแม่ควรสลับชนิดผลไม้ให้มีความหลากหลายในแต่ละวัน ทั้งเพื่อให้เด็กๆ ได้รับวิตามินที่ครบถ้วน หลากหลาย และป้องกันการเบื่อผลไม้แบบเดิมๆ ของเด็กๆ อีกด้วย

5 น้ำเปล่า/ น้ำผลไม้คั้นสด คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักจะละเลยการให้เด็กๆ ดื่มน้ำเปล่า และน้ำผลไม้คั้นสด บางทีจะให้ดื่มก็ต่อเมื่อเด็กๆ มีอาการหอบหรือกระหายน้ำมากจนต้องมาขอดื่มน้ำเอง เพราะคาดไม่ถึงว่าร่างกายของเด็กๆ เสียน้ำจากการเล่นและการทำกิจกรรมต่างๆ ตามวัย เพราะฉะนั้น ควรหมั่นให้เด็กๆ ได้ดื่มน้ำเปล่าที่สะอาดและน้ำผลไม้คั้นสด ไม่ว่าจะก่อนที่เด็กๆ เล่น ระหว่างการเล่น และหลังการเล่น เป็นต้น

สาหร่ายเกลียวทอง
มีสารอาหารสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กวัย 1-3 ปี

         เพราะสาหร่ายเกลียวทอง หรือ สาหร่ายสไปรูลิน่า นั้นมี สารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ และเป็นสารอาหารที่มีคุณภาพ มีสัดส่วนที่พอเหมาะต่อความต้องการของร่างกายอย่างครบถ้วนที่สำคัญและจำเป็นต่อพัฒนาการของเด็กวัย 1-3 ปี รวมถึงต่อสุขภาพของคนทุกเพศทุกวัยอีกด้วย ทั้งโปรตีน, วิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิด, แหล่งพลังงานสูง เป็นต้น ส่วนรายละเอียดสำคัญจะมีอะไรบ้าง เราไปดูกัน

1 อุดมไปด้วยโปรตีนคุณภาพสูงถึง 70%
ในสาหร่ายเกลียวทองนั้นเป็นแหล่งโปรตีนที่มีสูงกว่าและมากกว่าแหล่งโปรตีนชนิดอื่นๆ ทั้งจากเนื้อสัตว์, เนื้อปลา, นม, ไข่ และพืชชนิดต่างๆ โดยมีโปรตีนคุณภาพดีสูงถึง 70% และยังเป็นโปรตีนที่ปราศจากคอเรสเตอรอลอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ดูดซึมง่าย โดยมีอัตราการย่อยถึง 95% ซึ่งมากกว่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์ถึง 2 เท่า และมีโปรวิตามินที่เปลี่ยนเป็นวิตามิน A ได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติเพียงหนึ่งเดียวของส่าหร่ายเกลียวทอง

Spirulina

2 อุดมไปด้วยวิตามินที่ดีต่อร่างกายมากมายหลายชนิด ในสาหร่ายเกลียวทองมีวิตามินที่ดีและมีคุณภาพต่อร่างกายมากมายและหลากหลายชนิด เช่น วิตามินB1, วิตามินB2, วิตามินB3, วิตามินB5, วิตามินB6, วิตามินB 12 และมีโครเมียมที่เป็นตัวสร้างวิตามินB12, วิตามินC, วิตามินH, วิตามินD, เบต้าแคโรทีน, ธาตุเหล็ก, สังกะสี, แคลเซียม, แมกนีเซียม, โฟเลต และแคโรทีนอยด์ ที่ย่อยง่ายและดูดซึมง่ายอีกด้วย 

3 อุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 18 ชนิด ในสาหร่ายเกลียวทองมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วนและมีมากถึง 18 ชนิด และยังมี กรดแกมม่าไลโนเลนิก ที่ช่วยลดคอลเลสเตอรอลได้ถึง 170 เท่าของกรดไขมันที่มีในน้ำมันพืชอีกด้วย จึงช่วยให้ระบบดูดซึมอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยลดโรคท้องผูกเรื้อรังได้ดี นอกจากนั้น ยังมีกรดอะมิโนที่สำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กลูตามิก (Glutamic acid) ที่มีความสำคัญต่อกระบวนการเผาผลาญอาหารให้สมอง ช่วยให้ระบบประสาทและร่างกายเกิดความสมดุล สุขภาพสมองดีขึ้น รู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง มีชีวิตชีวา, ไอโซลิวซีน (Isoleucine) ที่ช่วยป้องกันความเสื่อมของระบบประสาทและเซลล์สมอง ช่วยให้สมองและร่างกายแข็งแรงขึ้น, ลิวซีน (Leucine) ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนบน ช่วยทำให้ร่างกายตื่นตัวและกระฉับกระเฉงมากขึ้น สดชื่นขึ้น ช่วยเพิ่มพลังงานให้กล้ามเนื้อ และช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น, กลูตาเมต (Glutamate) ช่วยให้มีสมาธิ ช่วยเรื่องระบบการเรียนรู้และจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น, ฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) ช่วยในการส่งผ่านความรู้สึกและช่วยรักษาความสมดุลของระบบประสาท เพิ่มความสามารถในการทำงานของสมอง ทำให้สมองเกิดการตื่นตัวตลอดเวลา รู้สึกอารมณ์ดี กระปรี้กระเปร่า เกิดความสมดุล และใจเย็นมากขึ้น และ ทริปโตเฟน (Tryptophan) จะเข้าไปช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสาร ซีโรโทนิน (serotonin) ออกมา ซึ่งเป็นตัวส่งสัญญาณประสาทที่มีคุณสมบัติทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย สดชื่น ช่วยให้นอนหลับได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น และยังมีเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการหลายชนิด เช่น เหล็ก, แคลเซียม, แมกนีเซียม และโพแทสเซียม จึงช่วยให้ระบบการทำงานภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยรักษาสมดุลภายในร่างกาย และช่วยควบคุมน้ำหนัก

4 อุดมไปด้วยเอนไซม์ที่ดีต่อร่างกายมากถึง 2,000 ชนิด โดยเอนไซม์ที่มีในสาหร่ายเกลียวทองนี้ จะเป็นตัวที่ช่วยย่อยอาหารทดแทนการขาดเอนไซม์จากเนื้อสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมี เอนไซม์ซุปเปอร์ออกไซค์ดิสมิวเทส ซึ่งเป็นเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง จึงทดแทนเอนไซม์จากเนื้อสัตว์ได้อย่างสมบูรณ์ โดยมีคุณสมบัติสร้างภูมิต้านทานและหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค และเอนไซม์บางชนิดที่อยู่ในสาหร่ายเกลียวทองยังทำหน้าที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลายได้อีกด้วย

5 อุดมไปด้วยกลูตาไธโอน ในสาหร่ายเกลียวทองมีกลูตาไธโอนที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์และ DNA ที่สึกหรอให้แข็งแรงยิ่งขึ้น โดยเอนไซม์บางชนิดจะทำหน้าที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลายให้กลับมาทำงานได้ดีขึ้น และยังมีเบต้าแคโรทีนและสารต้านอนุมูลอิสระระดับสูง จึงช่วยให้สุขภาพผิวพรรณแข็งแรง เปล่งปลั่ง สดใสอยู่เสมอ

ขนาดรับประทาน สาหร่ายเกลียวทอง สำหรับเด็กวัย 1-3 ขวบ

Happy eating

            หลายคนสงสัยและตั้งคำถามว่า เด็กที่อยู่ในวัย 1-3 ปี ควรจะรับประทาน สาหร่ายเกลียวทอง หรือ สาหร่ายสไปรูลิน่า ในปริมาณเท่าไหร่ถึงจะพอดี ซึ่งจากเอกสารวิชาการต่างๆ ยังไม่พบว่า มีการกำหนดขนาดมาตรฐานของ สาหร่ายเกลียวทอง ที่ให้เด็กบริโภคเป็นอาหารเสริม ทั้งนี้นักโภชนาการมองว่า สาหร่ายเกลียวทอง เป็นอาหารไม่ใช่ยา นั่นเอง และการที่ สาหร่ายเกลียวทอง ถือว่าเป็นอาหารและจัดอยู่ในประเภทที่มีต้นกำเนิดจากธรรมชาติ ดังนั้นเด็กๆ จึงสามารถบริโภคได้ ถ้าลดขนาดลงตามสัดส่วนของน้ำหนักตัว ซึ่งการให้ สาหร่ายเกลียวทอง กับเด็กๆ เพื่อรักษาอาการป่วยนั้น ต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์ ซึ่งมีขนาดที่ใช้บริโภคตั้งแต่ 1 กรัมไปจนถึง 5 กรัมต่อเด็ก 1 คนและต่อวัน เป็นเวลาติดต่อกันนานหลายเดือน โดยวิธีที่ใช้เพื่อให้เด็กสามารถรับประทานได้ง่ายก็มีหลายวิธีด้วยกัน เช่น ผสมในขนมหวาน, ผสมในเส้นหมี่ และที่เด็ก ๆ ชอบกันมากก็คือ ผสมในไอศครีม

            ปัจจุบัน ประเทศญี่ปุ่นได้ใส่ สาหร่ายเกลียวทอง หรือ สาหร่ายสไปรูลิน่า ในหมากฝรั่ง ที่สามารถกินได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งได้ประโยชน์ 2 อย่างด้วยกันคือ สารอาหารที่มีคุณภาพในสาหร่ายเกลียวทองเป็นอาหารเสริมที่ดีต่อร่างกาย กับ คลอโรฟิลในสาหร่ายเกลียวทองช่วยทำให้ปากสะอาด นอกจากนั้นก็ยังมีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคคอเจ็บ และระงับกลิ่นปากอีกด้วย ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นมีความเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยในการบริโภคอาหารทุกชนิดเป็นอย่างมาก โดยการที่ยินยอมให้ใช้ สาหร่ายเกลียวทอง หรือ สาหร่ายสไปรูลิน่า ในหมากฝรั่งรวมทั้งขนมประเภทกินเล่น (ของว่าง) และเป็นแผ่นสาหร่ายที่จำหน่ายตามศูนย์การค้าทั้งหลายได้นั้น ก็ถือว่าเป็นข้ออ้างอิงที่ดีพอสมควร ในเรื่องของความไม่มีพิษมีภัยของสาหร่ายเกลียวทอง โดยเฉพาะกับเด็กๆ (เรียบเรียงจากบทความ Food Of The Future โดย ศงดร.นพ. สมศักดิ์ วรคามิน )

           ดังนั้นผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่าสาหร่ายเกลียวทอง หรือ สาหร่ายสไปรูลิน่า ที่ผลิตจาก ‘บุญสมฟาร์ม’ ของเรานั้น สะอาด ปลอดภัย เป็นสาหร่ายจากธรรมชาติแท้ 100% และผ่านกรรมวิธีการผลิตที่ได้รับการรับรองในระดับมาตรฐานสากล สามารถรับประทานได้ตั้งแต่เด็กวัย 6 เดือน ไปจนกระทั่งผู้สูงอายุ และสตรีมีครรภ์ เพราะ สาหร่ายเกลียวทอง คือตัวช่วยสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ และ เป็นอาหารที่ดีที่สุดในปัจจุบันและอนาคต

Did you know?

อาหาร 4 แบบที่ควรระวังสำหรับเด็กวัย 1-3 ปี

1. ไม่ควรเป็นอาหารที่แข็ง กรอบ หรือเหนียวเกินไป เพราะเด็กวัยนี้เหงือกและฟันยังไม่แข็งแรงพอ ควรเลือกเป็นอาหารที่อ่อนนุ่ม หรือต้องผ่านการต้มเคี่ยวให้เปื่อย หรือสับจนละเอียดแล้ว  

2. ม่ควรเป็นอาหารที่มีคำใหญ่เกินไป เพราะฟันของเด็กๆ วัยนี้ยังไม่แข็งแรงพอที่จะขบเคี้ยวให้อาหารเล็กลงได้ดี รวมถึงไม่ควรให้อาหารแข็งที่มีความเป็นก้อนกลม หรือเป็นเม็ดๆ ขนาดประมาณ 1-2 เซนติเมตร เช่นถั่ว เพราะอาจจะหลุดเข้าคอทำให้ติดคอ สำลัก หรือหลุดเข้าไปอุดหลอดลมได้

3. ไม่ควรเป็นอาหารที่มีรสจัดเกินไป อาหารรสจัดทั้งหลายก็เช่น เค็มจัด หวานจัด หรือเปรี้ยวจัด เพราะในอาหารที่เค็มจัดเกินไปจะส่งผลต่อการทำงานของไต หรืออาหารรสหวานจัดก็จะทำให้เด็กติดรสหวานจนกลายเป็นโรคอ้วนได้

4.  ไม่ควรเลือกอาหารที่ผู้ใหญ่กินได้ให้กับเด็ก อาหารเหล่านั้นก็เช่น อาหารที่ปรุงไม่สุก หรือปรุงสุกๆ ดิบๆ อาหารที่มีรสจัด อาหารหมักดองต่างๆ รวมไปถึงเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น

You may also like to read

Improve your sleep

ปรับสมดุลแห่งการนอนด้วย ‘นาฬิกาชีวภาพ’ และ ‘เมลาโทนิน’ สำหรับวัยทำงาน

        ‘วัยทำงาน’ เป็นช่วงวัยที่มีพลังเยอะ ทั้งยังสนุกกับการทำงาน สนุกกับการสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ และมุ่งมั่นที่จะเติบโตในหน้าที่การงาน วัยทำงานจึงทุ่มเทพลังกายใจให้กับการทำงานอย่างเต็มที่แม้จะอยู่นอกเวลางานแล้วก็ตาม

Read More »
Sleep-late-Wakeup-Early

‘นอนดึก-ตื่นเช้า’ แต่ยังสดชื่นอยู่เสมอ

        หลายคนต้องนอนดึกเพราะความจำเป็นจากหน้าที่การงาน หลายคนนอนดึกเพราะเกิดจากโรคนอนไม่หลับและโรคประจำตัวอื่นๆ ซึ่งอาจทำให้หลับๆ ตื่นๆ และอีกหลายคนต้องนอนดึกเพราะเกิดจากสิ่งเร้าที่อยู่รอบ ๆ

Read More »
Spirulina-Help-Hangover

ตัวช่วยฟื้นฟูตับและลดอาการแฮงค์ ‘สาหร่ายเกลียวทอง’

     คงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะบอกให้นักดื่มหรือคนที่ชื่นชอบเครื่องดื่มแอลกฮอล์ทั้งหลายให้ “เลิกดื่มเพื่อสุขภาพที่ดีกันเถอะ” เพราะความจริงทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่า ถ้าลด ละ เลิกได้ก็ส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน แต่บรรยากาศของการดื่มสังสรรค์กับเพื่อน

Read More »
Take care Anemia with spirurila

เลือดจาง (Anemia) ดูแลได้ด้วย ‘สาหร่ายเกลียวทอง’

     “สุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องดูแลเอง” ประโยคนี้ตอบโจทย์ได้ครบครันเรื่องการดูแลสุขภาพ นั่นเพราะ “การมีสุขภาพดี” ไม่มีใครสามารถทำแทนเราได้ ตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้ลงมือทำ ยกเว้นเด็กๆ

Read More »
Take-care-of-your-eyes

บำรุงสายตาด้วยสารอาหารที่ดีที่สุดใน ‘สาหร่ายเกลียวทอง’

       ถ้าจะบอกว่า ‘ดวงตา’ เป็นกระจกสะท้อนสุขภาพกายและใจของคนเราก็คงไม่เกินไปนัก เพราะไม่ว่าเรา จะมี ‘ความสุข’ หรือ

Read More »

Leave a Reply