คงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะบอกให้นักดื่มหรือคนที่ชื่นชอบเครื่องดื่มแอลกฮอล์ทั้งหลายให้ “เลิกดื่มเพื่อสุขภาพที่ดีกันเถอะ” เพราะความจริงทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่า ถ้าลด ละ เลิกได้ก็ส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน แต่บรรยากาศของการดื่มสังสรรค์กับเพื่อน ๆ และคนที่รู้ใจนั้นก็แสนจะเพลิดเพลินตัดใจเลิกได้ยากเหลือเกิน เพราะฉะนั้น ถ้ายังเลิกไม่ได้ก็ต้องหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพควบคู่กันไปด้วยดีที่สุด โดยเฉพาะ “สุขภาพตับ” เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเป็นตัวทำร้ายตับโดยตรง ยิ่งถ้าใครที่ดื่มแบบไม่แยแสสุขภาพด้วยแล้วละก็ ไม่ใช่แค่ตับเท่านั้นที่จะถูกทำร้าย แต่ยังส่งผลกระทบต่ออวัยะอื่น ๆ ให้ย่ำแย่ตามไปอีกด้วย และร้ายแรงถึงขั้นเกิดโรคร้ายได้เลยล่ะ ตอนนี้เรามาดูกัน ว่าทำไมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถึงทำร้ายตับได้ขนาดนั้น และถ้ายังเลิกดื่มไม่ได้จะมีวิธีดูแล ปกป้อง และฟื้นฟูตับหรือไม่ อย่างไร รวมถึงวิธีลดอาการแฮงค์หลังการดื่มอย่างหนักหน่วงนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง?
ดื่มมากไปทำร้ายตับ, สมอง และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
‘โรคตับ’ เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุด้วยกัน ทั้งการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม, การติดเชื้อไวรัส, ความพิการของตับที่ถูกทำร้ายจากยารักษาโรคต่าง ๆ เพราะยาที่จะเข้าสู่ร่างกายได้นั้นต้องดูดซึมจากลำไส้และส่งผ่านไปให้ยังตับที่จะทำหน้าที่ย่อยสลายสารเคมีเหล่านี้เป็นลำดับต่อไป จึงมีรายงานว่าประมาณ 40% ความพิการที่เกิดขึ้นจากตับนั้นมาจากยารักษาโรคที่ใช้อยู่เป็นประจำ เช่น โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น และอีกหนึ่งสาเหตุที่สำคัญก็คือ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปนั่นเอง
และตามที่ “องค์การอนามัยโลก” (WHO) ได้บอกเกี่ยวกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เอาไว้ว่า “แท้จริงแล้วไม่มีระดับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพหรอก เพราะยิ่งดื่มมากเท่าไหร่ ยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากขึ้นเท่านั้น” โดยเพราะผลร้ายที่มีต่อ ‘ตับ’ นั้นชัดเจนมาก นั่นเพราะ ‘ตับ’ จะทำงานหนักมากขึ้นเพื่อกำจัดสารพิษจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งปกติตับก็ต้องทำงานหนักอยู่แล้วในการกำจัดสารพิษต่างๆ ที่เราบริโภคในชีวิตประจำวัน เช่น จากสารกันบูดในอาหารแปรรูปต่างๆ หรือจากยารักษาโรค เป็นต้น ทีนี้เรามาดูกันว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำร้ายตับ, ทำร้ายสมอง และทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายได้อย่างไรบ้าง
1 ทำร้ายตับ ตับคืออวัยวะที่รับบทหนักในการกำจัดแอล กอฮอล์ที่เข้าสู่ร่างกาย โดยเซลล์ตับจะผลิตเอนไซม์ออกมาเพื่อเปลี่ยนแอลกอฮอล์ไปเป็น ‘อะเซทัลดีไฮด์’ และเปลี่ยนไปเป็น ‘กรดอะซิติก’ และ ‘อะเซทิลโคเอ’ ตามลำดับ ซึ่งจะเข้าสู่ ‘เมทาบอลิซึม’ ต่อเพื่อให้ร่างกายได้พลังงานและน้ำ เพราะฉะนั้น ตราบใดที่เรายังไม่หยุดดื่มตับก็จะยังคงทำงานเพื่อย่อยสลายแอลกอฮอล์ต่อไปไม่หยุดเช่นกัน พูดง่ายๆ คือคอยกำจัดสารพิษจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนละเลยในการทำหน้าที่สลายกรดไขมันและกำจัดสารพิษอื่น ๆ ทำให้เกิดการ ‘คั่งไขมันที่ตับ’ (fatty liver) รวมทั้งสารพิษต่างๆ ที่ร่างกายได้รับมา จนกระทั่งนำไปสู่โรคตับอักเสบ, พังผืดที่ตับ และถ้าปล่อยไว้ไม่รักษาก็จะนำไปสู่ ‘ภาวะตับแข็ง’ ได้ และลุกลามไปสู่โรคมะเร็งตับนั่นเอง โดยมี 3 ระยะอันตรายด้วยกัน
ระยะที่ 1 : เกิดไขมันสะสมในตับ (Alcoholic fatty liver) ตับเกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะเริ่มต้น โดยระยะนี้อาจจะยังไม่แสดงอาการชัดเจน ต้องพบแพทย์เพื่อตรวจทางพยาธิวิทยาเท่านั้นถึงจะพบ เป็นระยะที่มีการสะสมไขมันประเภทไตรกลีเซอไรด์เพิ่มขึ้นในเซลล์ตับ
ระยะที่ 2 : ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Hepatitis) ในระยะนี้ร่างกายจะแสดงอาการเพิ่มขึ้นจากระยะที่ 1 เช่น รู้สึกจุกแน่นที่ชายโครงทางด้านขวา แต่ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเป็นเรื่องปกติ จนกว่าจะเกิดอาการรุนแรงร่วมด้วย เช่น ไข้สูง, ดีซ่าน และมีอาการทางสมอง เช่น รู้สึกสับสน มึนงง หรือหมดสติ
ระยะที่ 3 : ภาวะตับแข็งจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Cirrhosis) เป็นระยะสุดท้ายของโรคตับแข็ง โดยจะเกิดพังผืดในเนื้อตับ ทำให้ตับเป็นก้อนแข็ง, มีผิวขรุขระ และมีขนาดเล็กลง ในระยะนี้ผู้ป่วยจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด เพราะเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารแตก ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งตับอีกด้วย
2 สมองถูกทำร้าย การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไป บ่อย ๆ และเป็นประจำจะทำให้ปวดศรีษะ มึนงง เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน และบางทียังมีอาการแฮงก์หรือเมาค้างหลังตื่นนอนอีกด้วย ใครที่เคยแฮงก์จะรู้ดีว่าทรมานแค่ไหน เรียกว่าทำกิจวัตรประจำวันแบบปกติไม่ได้เลยทีเดียว และถ้าดื่มหนัก ดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ แล้วละก็ จะทำให้เกิดภาวะความจำบกพร่อง, สมองเสื่อม และติดแอลกอฮอล์ได้
3 ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกทำลาย ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเราเป็นเหมือนเกราะป้องกันเราจากเชื้อโรคต่าง ๆ ที่ทำให้เจ็บป่วย การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำและติดต่อกันเป็นเวลานานเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบภูมิคุ้ม กันของร่างกายเสื่อมประสิทธิภาพลง ผลลัพธ์ก็คือ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายติดเชื้อได้ง่ายและเกิดโรคต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคตับ, โรคปอดอักเสบ, เลือดเป็นพิษ, วัณโรค และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น
ซึ่งการดูแลและรักษา ‘โรคตับอักเสบ’ ในปัจจุบัน จะเน้นให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้มากและดูแลเรื่องอาหารที่จะให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน เช่น เพิ่มอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินสูง โดยสารอาหารโปรตีนที่ร่างกายต้องการนั้นก็คือ ‘เมทไทโอนีน’ (Methionine) เป็น ‘กรดอะมิโน’ ชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งของโปรตีน โดยกรดอะมิโนนี้นอกจากจะเป็นสารอาหารสำคัญของโครงสร้างเซลล์ตับแล้ว ยังช่วยป้องกันเซลล์ตับจากพิษแอลกอฮอล์อีกด้วย และเนื่องจากตับจะมีปฏิกิริยาทางเคมีที่ซับซ้อน จึงต้องการวิตามินจำนวนและหลากหลาย เช่น วิตามินซี ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในกระบวนการออกซิเดชั่นและรีดักชั่น และเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้าง ‘กลัยโคเจน’ อีกทั้งยังมีความสำคัญในการแข็งตัวของเลือดอีกด้วย
‘โรคภาวะหัวใจฉุกเฉินแบบฉับพลัน’
ผลจากการดื่มหนักและพักผ่อนน้อย
แพทย์หลายท่านได้เตือนว่า การสังสรรค์ปาร์ตี้บ่อย ๆ และติดต่อกันหลายคืน รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน โดยเฉพาะการดื่มในปริมาณที่มากและรวดเร็ว หรือดื่มเป็นประจำ และการอดนอน พักผ่อนน้อย และไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพนั้น แม้จะอายุยังน้อย ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวที่สุขภาพแข็งแรง แต่ก็อาจจะเกิด ‘โรคหัวใจแบบเฉียบพลัน’ ได้ และมักจะเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวอีกด้วย โดย ‘นพ.ชาติทนง ยอดวุฒิ‘ อายุรแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ ได้เขียนบทความดี ๆ เพื่อเตือนนักดื่มทั้งหลายเอาไว้ว่า โรคหัวใจที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันนี้ แม้จะตรวจไม่เจอความผิดปกติมาก่อนก็ตาม แต่แค่คนคนนั้นมีความเสี่ยงก็อาจจะเกิดภาวะนั้นได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบฉับพลัน, โรคเส้นเลือดใหญ่ที่ขั้วหัวใจแตกฉุกเฉิน และภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะแบบฉับพลัน เรามาดูกันว่า แต่ละโรคจะมีอาการอย่างไรให้เราสังเกตตัวเองได้บ้าง
1 โรคเส้นเลือดหัวใจตีบฉับพลัน ชนิด Plaque rupture เกิดขึ้นจากภาวะหัวใจขาดเลือดแบบกราฟหัวใจ ‘ST elevation’ (ST elevation myocardial infarction) ซึ่งพบว่าเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดอยู่แล้วร่วมกับความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, ไขมันในเลือดสูง, การสูบบุหรี่, ไม่ออกกำลังกาย, โรคอ้วน ภาวะเครียดสะสม หรือมีประวัติของครอบครัวที่เป็นหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยอาการของโรคนี้อาจจะเกิดขึ้นแบบฉับพลัน เช่น เจ็บแน่นหน้าอก, หายใจไม่ออก, จุกลิ้นปี่, ร้าวไปที่กรามหรือแขน, เหงื่อแตก, ใจสั่น เป็นต้น และอาจจะพบว่าอาการเหล่านี้เกิดขึ้นในระหว่างที่กำลังออกแรงหรือออกกำลังกาย
2 โรคเส้นเลือดใหญ่ที่ขั้วหัวใจแตกฉุกเฉิน (Dissecting Aortic aneurysm) ปัจจัยเสี่ยงของโรคนี้ก็จะคล้ายกับโรคเส้นเลือดหัวใจตีบฉับพลัน ซึ่งผู้ป่วยอาจจะมีประวัติเป็นเส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพองมาก่อนแล้ว หรือมีปัญหาเรื่องของเส้นเลือดแดงตามส่วนอื่น ๆ ในร่างกายตีบอยู่ก่อนแล้ว เป็นต้น ซึ่งอาการของโรคก็คือ เจ็บแน่นกลางหน้าอกแบบฉับพลัน และมีอาการแน่นทะลุร้าวไปถึงหลังร่วมด้วย
3 ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะแบบฉับพลัน (Acute Atrial fibrillation or Holiday heart syndrome) ภาวะนี้อาจจะพบได้ในคนที่พักผ่อนน้อย, อดนอน, สังสรรค์อย่างหนักติดต่อกันหลายคืน, ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและหลายวันติดต่อกัน โดยอาการที่เกิดขึ้นก็คือ ใจสั่น, หน้ามืดเป็นลม, หมดสติ และชีพจรเต้นไม่ได้จังหวะ โดยทั่วไปอาการที่เกิดจากโรคหัวใจโดยตรงมักจะเกิดขึ้นแบบรวดเร็วฉับพลัน บางทีคล้ายกับคนที่อดหลับอดนอน, พักผ่อนน้อย และหน้ามืดเป็นลม ซึ่งถ้าไม่เกี่ยวกับโรคหัวใจจะเป็นครั้งเดียวแล้วหายได้ แต่ถ้าเกิดจากโรคหัวใจมักจะไม่หายเอง แต่จะเป็นซ้ำหลังอาการดีขึ้น และถ้ามีเกิดจากโรคหัวใจก็มักจะตรวจพบความผิดปกติอื่นๆ ของร่างกายร่วมด้วย ได้ฟังอย่างนี้นักดื่มหลังหลายที่หลงใหลกับการดื่มแบบไม่ห่วงสุขภาพ แถมยังอดหลับอดนอน พักผ่อนน้อย ไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง นอกจากจะทำร้ายตับแล้ว ยังอาจจะกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจและกระตุ้นให้เกิดโรคอื่นๆ อีกด้วย ซึ่งแพทย์แนะนำให้ตรวจร่างกายเป็นประจำเพื่อวินิจฉัยโรคและความเสี่ยงต่างๆ จะปลอดภัยที่สุด
4
สิ่งควรทำก่อนดื่มช่วยลดอันตรายต่อตับและสุขภาพ
อย่างที่บอกไว้ว่า “ถ้ายังเลิกดื่มไม่ได้” ก็ต้องใส่ใจดูแลสุขภาพให้มากขึ้นด้วย ทั้งก่อนดื่มและหลังการดื่ม และควรรู้ข้อมูลดีๆ ของ ‘กระบวนการที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าสู่ตับ’ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพในผู้ที่ชอบดื่ม หลังจากที่เราดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว ปริมาณที่ดื่มเกือบทั้งหมดประมาณ 90-98% จะถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหารผ่านไปยังลำไส้แล้วส่งผ่านไปยังหลอดเลือดไปยังตับเพื่อกรองออกทิ้ง โดยการย่อยสลายแอลกอฮอล์เมื่อเข้าสู่ตับแล้วจะมี 2 กระบวนการด้วยกัน คือ
1. ย่อยสลายด้วยปฏิกริยา เอนไซม์ดีไฮโดรจีเนชั่น (dehydrogenation enzyme) กระบวนการนี้จะทำให้แอลกอฮอล์กลายเป็นสารใหม่ คือ อะเซตตัลดีฮายด์ (acetaldehyde) ซ่ึงเป็นสารพิษต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการเมาค้าง ท้องร่วง อาเจียน และปวดหัวนั่นเอง
2. ย่อยสลายด้วยปฏิกริยา เอ็มอีโอเอส (alcohol oxidizing enzyme) โดยจะทำปฏิกริยากับสารนี้จนถึงขั้นสุดท้ายได้เป็น ‘น้ำ’ และ ‘คาร์บอนไดออกไซด์’ จากนั้นก็จะทำการขับออกจากร่างกาย ซึ่งถ้าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไป ตับก็จะทำงานหนักในการขจัดสารพิษเหล่านี้ให้หมดไปจากร่างกาย โดยปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ตับสามารถขจัดได้ต่อ 1 ชั่วโมงนั้นแค่ประมาณ 10 มิลลิลิตร หรือ 1/3 ออนซ์เท่านั้น แม้ว่าในคนที่มีสุขภาพดี ตับก็จะมีความสามารถในการขจัดเครืื่องดื่มแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายได้ไม่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้น ก่อนการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เราก็มาดูกันว่า 4 สิ่งที่ควรทำก่อนการดื่มที่จะช่วยลดการทำร้ายตับและทำลายสุขภาพนั้นจะมีอะไรบ้าง
1. รับประทานอาหารก่อนการดื่ม การปล่อยให้ท้องว่างและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลย นอกจากจะทำให้เมาง่ายและง่วงซึมเร็วแล้วยังเป็นการทำร้ายตับและอวัยวะอื่นๆในร่างกายอีกด้วย เพราะแอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมผ่านเยื่อบุกระเพาะอา หารและเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง จึงทำให้เมาง่ายและง่วงซึมเร็ว และผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน ก็จะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย, น้ำตาลในเลือดต่ำ และหน้ามืดเป็นลมได้ เพราะฉะนั้น ก่อนการดื่มควรรับประทานอาหารหรือผลไม้รองท้องก่อนดีที่สุด โดยเฉพาะเมนูปลา เพราะเป็นหนึ่งในเมนูอาหารที่ควรรับประทานก่อนการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะโปรตีนและไขมันในปลานั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพ หรือจะเลือกเป็นอาหารเสริมที่มีโอเมกา 3 และโอเมกา 6 ก็จะช่วยเคลือบกระเพาะอาหารและเติมระดับกรดไขมันในร่างกายได้ นอกจากนั้นการดื่มนมหรือโยเกิร์ต รองท้องก่อนการดื่มก็สามารถช่วยลดอันตรายต่อตับได้ด้วย
2. ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอทั้งก่อนดื่ม ระหว่างดื่ม และหลังดื่ม การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอทั้งก่อนดื่ม ระหว่างดื่ม และหลังดื่ม ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำนั่นเอง เพราะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นจะทำให้เราปัสสาวะบ่อย และเพื่อลดความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดไม่ให้มากจนเกินไป เพราะฮอร์โมนและเอนไซม์หลายชนิดในร่างกายเราจะถูกยับยั้งด้วยฤทธิ์ของแอลกอ ฮอล์ โดยเฉพาะ ‘ฮอร์โมน Antidiuretic’ (ADH) ที่ควบคุมไตของเราให้ดูดน้ำกลับ ซึ่งเมื่อฮอร์โมน ‘ADH’ ถูกยับยั้งทำให้ไตไม่ดูดน้ำกลับ จึงทำให้เราปัสสาวะบ่อยขึ้น และทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่จำนวนมาก และหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอลฮอล์พบว่า วิตามินที่ร่างกายขาดมากที่สุดคือวิตามินเอ, วิตามินบี1, วิตามินบี3, วิตามินบี6, วิตามินอี, โฟเลท และแร่ธาตุซีลีเนียม เพราะฉะนั้น แนะนำให้กินอาหารที่มีวิตามินบี เพื่อลดการสูญเสียวิตามินของร่างกาย
3. ไม่ดื่มหนักเกินไปจนทำให้เมาค้าง ‘อาการเมาค้าง’ หรือ ‘อาการแฮงค์’ ส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายหลายระบบมาก และนำไปสู่การเกิดโรคตับแข็ง และโรคสมองเสื่อมได้ ใครที่เคยแฮงค์ลองคิดดูเล่นๆ ว่า ขนาดเรายังทรมานมากขนาดนี้ แล้วอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายเราจะทรมานมากขนาดไหน โดยทางการแพทย์แนะนำการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สำหรับผู้ที่มีร่างกายปกติและไม่มีโรคประจำตัวหรือโรคเกี่ยวกับตับ ดังนี้ ผู้ชายดื่มไม่เกิน 3 หน่วยต่อวัน/ ผู้หญิงดื่มไม่เกิน 2 หน่วยต่อวัน โดยแอลกอฮอล์ 1 หน่วย จะมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 12-15 กรัม โดยเบียร์ 1 ขวด มีปริมาณแอลกอฮอล์ 13 กรัม/ ไวน์ 1 แก้ว (ปกติ) มีปริมาณแอลกอฮอล์ 12 กรัม/ วิสกี้ (หรือสุรากลั่น) 2 ฝา มีปริมาณแอลกอฮอล์ 15 กรัม
4. รู้จักสภาพร่างกายตัวเอง สิ่งสำคัญก่อนการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกครั้ง เราต้องรู้ว่าสภาพร่างกายเราเป็นอย่างไร มีโรคประจำตัวหรือไม่ พักผ่อนเพียงพอหรือเปล่า นอนน้อยมั้ย? เพราะถ้าเราไม่สนใจความพร้อมของร่างกายตัวเอง แต่กลับไปดื่มแบบสุดเหวี่ยงในปริมาณที่มากและอย่างรวดเร็วเกินไป อาจจะทำให้เกิด ‘ภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษ’ จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ นั่นเพราะ ‘ตับ’ ซึ่งทำหน้าที่กำจัดสารพิษออกจากร่างกายและทำหน้าที่ขับแอลกอฮอล์ออกจากกระแสเลือดนั้นทำงานไม่ทัน ซึ่งทางการแพทย์ก็ยังไม่สามารถระบุระยะเวลาที่แสดงอาการที่ชัดเจนได้ แต่ส่วนใหญ่ที่พบผู้ที่กำลังมีภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษจะแสดงอาการต่างๆ เช่น สับสน, พูดจาไม่รู้เรื่อง, ง่วงซึม, กระวนกระวาย, ทรงตัวไม่ได้, อาเจียนออกมามากหรือจนเป็นเลือด, หายใจได้ช้าลง, หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ, นอนหลับมากผิดปกติ, รู้สึกตัวแต่ไม่สามารถตอบสนองได้, น้ำตาลในเลือดต่ำจนทำให้เกิดอาการชัก หรือเสียชีวิตได้
7
วิธีลดอาการแฮงค์หลังดื่มหนักและฟื้นฟูตับ
หลังการดื่มอย่างหนักหน่วงเชื่อว่าหลายคนคงเคยมี ‘อาการแฮงค์’ หรือ ‘อาการเมาค้าง’ ที่ทำให้ปวดหัวแทบระเบิด ปวดลามไปถึงกระบอกตา ปวดจนลุกแทบไม่ขึ้น และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เสียการทรงตัว หิวน้ำ ปากแห้ง อ่อนเพลีย และทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยทำในชีวิตประจำวันแทบไม่ได้เลย อาการเหล่านี้เกิดจากการที่ร่างกายมีการขับของเสียออกไปในรูปแบบของปัสสาวะ และพร้อมกันนั้นก็ได้ขับสารอาหารที่สำคัญออกไปด้วย เช่น วิตามินบี, แมกนีเซียม และโพแทสเซียม เป็นต้น จึงทำให้เกิดการคั่งของสาร ‘แอลดีไฮด์’ ที่มีผลต่อการลดปริมาณน้ำตาลในเลือดและรบกวนการทำงานของ ‘ฮอร์โมนเมลาโทนิน’ นั่นเอง ซึ่งวิธีลดอาการแฮงค์และฟื้นฟูตับก็มีรายละเอียดดังนี้
1. ดื่มน้ำเปล่าให้มาก การดื่มน้ำเปล่าจะช่วยให้ร่างกายขับสารพิษ และช่วยขับแอลกอฮอล์ออกทางปัสสาวะได้มากขึ้นอีกด้วย เพราะฉะนั้น ควรดื่มน้ำเปล่าทั้งก่อนการดื่ม ระหว่างการดื่ม หลังการดื่ม และหลังการตื่นนอน
2. กินเมนูร้อนๆ ใครที่เคยแฮงค์จะรู้ว่าแทบกินอะไรไม่ได้เลย แต่การฝืนกินเมนูร้อน ๆ บ้างจะช่วยลดอาการแฮงค์ได้นะ เช่น จิบชาร้อน เช่น ชาเปปเปอร์มินต์, น้ำขิงอุ่น ๆ, กินอาหารประเภทซุป ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยว หรือโจ๊ก จะช่วยลดอาการแฮงค์ได้ รวมถึงผักผลไม้ เช่น อะโวคาโด, หน่อไม้ฝรั่ง ก็จะช่วยฟื้นฟูเซลล์ตับและเร่งการกำจัดสารตกค้างที่ทำให้มีอาการแฮงค์ได้ด้วย
3. ไม่จมอยู่กับที่นอนทั้งวัน แม้ว่าอยากจะนอนมากแค่ไหน หรือลุกแทบไม่ไหวเลยก็เถอะ แต่การจมอยู่กับที่นอนตลอดทั้งวันยิ่งจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและปวดหัวหนักมากขึ้น ควรออกมาสูดอากาศข้างนอกเพื่อให้ออกซิเจนเข้าไปช่วยกระตุ้นการทำงานของเมตาบอลิซึม จะทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และลดอาการแฮงค์ได้
4. เติมวิตามินบีให้แก่ร่างกาย การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นทำให้ตับและร่างกายทำงานหนัก เพราะระบบเผาผลาญจะทำงานหนักกว่าปกติ และในการเผาผลาญแต่ละครั้งนั้น ร่างกายจะสูญเสียวิตามินบีไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เกิดอาการแฮงค์นั่นเอง แต่ถ้าร่างกายได้รับวิตามินบีในปริมาณที่เพียงพอและอย่างสม่ำเสมอ หรือได้รับทั้งก่อนและหลังการดื่ม ก็จะช่วยป้องกันอาการแฮงค์ได้ และยังช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้นอีกด้วย เพราะฉะนั้น อย่างลืมเติมวิตามินบีและแร่ธาตุให้ร่างกาย เช่น จากน้ำผักผลไม้ที่มีส่วนผสมของวิตามินบีรวม, วิตามินรวม หรือรับประทาน ‘สาหร่ายเกลียวทอง’ หรือ ‘สาหร่ายสไปรูลิน่า’ ที่มีวิตามินและเกลือแร่หลายชนิดและจำนวนมากที่ร่างกายต้องการ
5. เติมวิตามินซีให้แก่ร่างกาย วิตามินซีจะช่วยช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย, กำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และช่วยให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยิ่งมีการสูบบุหรี่ร่วมด้วยนั้น จะทำให้ร่างกายสูญเสียวิตามินซีมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีที่เพียงพอและเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคได้ดี และช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดอาการแฮงค์หนักได้ และการดื่มวิตามินซีหรือช่วยลดอาการคลื่นไส้ และช่วยให้ร่างกายสดชื่นขึ้นได้
6. กินเมนูช่วยบำรุงตับ ผู้ที่ชอบดื่มควรจะเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายสมำ่เสมอ อาหารที่มีคุณภาพและมีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ รวมถึงมีวิตามินและเกลือแร่ที่ดีต่อร่างกาย รวมถึงผักและผลไม้เหล่านี้ เช่น แครอท เพราะเป็นผักที่มีคุณสมบัติที่สามารถล้างสารพิษที่สะสมอยู่ในตับได้ ช่วยทำความสะอาดตับจากน้ำดีและขจัดไขมันส่วนเกินออกจากตับ/ ถั่วเขียว ช่วยบำรุงตับ และช่วยให้ตับขับสารพิษออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ/ มันฝรั่ง เป็นอาหารบำรุงตับที่ดีมาก แนะนำให้รับประทานคู่กับเมนูเห็ดจะเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงตับมากยิ่งขึ้น/ แอปเปิ้ล เป็นตัวช่วยที่ดีในการขจัดสารพิษตกค้างทั้งที่ตับและที่ไตได้ด้วย
7. ถ้าปวดหัวหนัก สามารถกินยาแก้ปวดลดไข้ได้พร้อมกับดื่มน้ำเปล่าตามมาก ๆ และนอนพักผ่อน แต่ถ้ามีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ หรือมีอาการท้องเสียร่วมด้วยตลอดทั้งวันไม่หยุด ควรรีบไปพบแพทย์เป็นการด่วน เพราะร่างกายกำลังเกิดภาวะขาดน้ำ ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
6
อาหาร&เครื่องดื่มช่วยลดอาการแฮงค์และช่วยบำรุงตับ
1. กล้วย การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นจะทำให้เกิดความไม่สมดุลของ ‘อิเล็กโทรไลต์’ เนื่องจากร่างกายสูญเสียของเหลวเพิ่มขึ้นซึ่งจะขับถ่ายอิเล็กทรอไลต์ออกมาด้วย สารอาหารในกล้วยจึงเป็นตัวช่วยในการปรับความสมดุลของระดับอิเล็กทรอไลต์เพื่อฟื้นฟูร่างกายได้เพราะกล้วยอุดมไปด้วยโพแทสเซียมซึ่งช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำและช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ทำให้ร่างกายดูดซึมแอลกอฮอล์ได้น้อยลงและสามารถขับออกจากร่างกายได้เร็วขึ้นซึ่งนอกจากกล้วยแล้วก็ยังมีอะโวคาโดหรือผักผลไม้ชนิดอื่น ๆ อีกหลายชนิดที่มีสารอาหาร ‘โพแทสเซียม’ ด้วย
2. สับปะรด สับปะรดมี ‘เอมไซม์โบรมีเลน’ (Bromelain) ที่ช่วยให้ร่างกายสามารถย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น และยังช่วยลดความดันในตับได้อีกด้วย เรียกว่าเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่ช่วยบำรุงตับนั่นเอง
3. ผักโขม ระหว่างที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร่างกายจะสูญเสียสารอาหารอย่าง ‘แมกนีเซียม’ ไปด้วย เพราะฉะนั้น การกินอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม เช่น ผักโขม จึงช่วยเพิ่มแมกนีเซียมให้กับร่างกายได้ และสารอาหารดี ๆ ในผักโขมยังมีคุณสมบัติต้านอาการอักเสบ จึงช่วยลดอาการแฮงค์ลงได้ด้วยนั่นเอง
4. ขิง คุณสมบัติของขิงก็คือ สามารถช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ได้ และยังช่วยลดอาการอักเสบและช่วยให้กระเพาะอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นอีกด้วย โดยจะเลือกดื่มน้ำขิงอุ่นๆ หรือจะปั่นรวมกับผักผลไม้อื่นๆ ก็ได้เช่นกัน จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น และช่วยลดอาการแฮงค์ได้เป็นอย่างดี
5. น้ำมะพร้าว น้ำมะพร้าวช่วยลดอาการแฮงค์ได้ดี เพราะเป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุสำคัญ เช่น โพแทสเซียม, แมกนีเซียม, วิตามินซี และอิเล็กทรอไลต์ จึงช่วยในการเพิ่มน้ำและสารอาหารต่าง ๆ ที่ร่างกายสูญเสียไปจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้
6. น้ำเปล่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ยิ่งการดื่มหนักจนกระทั่งทำให้อาเจียนยิ่งทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแนะนำว่า เติมน้ำตาลและเกลือเพียงเล็กน้อยลงไปในน้ำเปล่า 1 แก้ว จะช่วยชดเชยน้ำที่ร่างกายสูญเสียไปได้ และร่างกายยังได้น้ำตาลและเกลืออีกด้วย เพราะฉะนั้น น้ำเปล่าไม่ได้จำเป็นแค่หลังการดื่มเท่านั้น แต่ควรจะดื่มน้ำเปล่าทั้งก่อนการดื่ม ระหว่างการดื่ม หลังการดื่ม และเมื่อเกิดอาการแฮงค์อีกด้วย
‘สาหร่ายเกลียวทอง’
ช่วยบำรุงตับ, ลดอาการแฮงก์ และบำรุงร่างกาย
‘สาหร่ายเกลียวทอง’ หรือ ‘สาหร่ายสไปรูลิน่า’ ไม่ได้มีแค่สารอาหารที่ช่วย ‘บำรุงตับ’ สำหรับนักดื่มเท่านั้น แต่ยังดีต่อคนรักสุขภาพและผู้ที่อยากดูแลสุขภาพอีกด้วย เพราะอุดมไปสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ มีวิตามินและแร่ธาตุที่ดีต่อร่างกายหลายชนิดและจำนวนมาก เมื่อรับประทานเป็นประจำจึงทำให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยบำรุงเซลล์ตับ และอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย โดยศาสตราจารย์ ‘โนบุสุ อิจิมา’ แพทย์ชาวญี่ปุ่นแห่งวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์เชนต์แมรี่แอนด์ ให้ข้อมูลไว้ในรายงานว่า “การรับประทานสาหร่ายเกลียวทองประมาณ 4-5 เม็ดก่อนการดื่มสุรานั้น จะช่วยไม่ให้เกิดอาการเมาค้างได้” ซึ่งอธิบายเพิ่มเติมได้ว่า นั่นเพราะ “โปรตีนเข้มข้นและมีคุณภาพสูงที่อยู่ใน ‘สาหร่ายเกลียวทอง’ นั้น จะช่วยปกป้องตับจากสารพิษในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้” นั่นเอง ตอนนี้เรามาดูกันเพิ่มเติมว่า สารอาหารที่ดีจำนวนมากที่มีในสาหร่ายเกลียวทองนั้น ทำไมถึงดีต่อสุขภาพตับ และต่อสุขภาพร่างกายสำหรับนักดื่ม
1. มีสารอาหารช่วยบำรุงตับ
สารอาหารที่ดีในสาหร่ายเกลียวทอง เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เลือดแข็งแรง โดยการนำพาออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปสู่เซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงช่วยบำรุงตับให้แข็งแรงด้วย รวมถึงสร้างภูมิต้านทานโรคและขจัดสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกายที่ได้รับมาจากอาหาร, น้ำดื่ม และอากาศ นอกจากนั้น ยังมีเอ็มไซม์ที่ดีที่ช่วยย่อยอาหารจำนวน 3 ชนิดด้วยกัน คือเอ็มไซม์ย่อยแป้ง (Amylase) เอ็มไซม์ย่อยไขมัน (Lipase) และเอ็มไซม์ย่อยโปรตีน (Protease) จึงช่วยไม่ให้ตับอ่อนต้องทำงานหนักจนเกินไปนั่นเอง
2. อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่ดีจำนวนมาก
ในสาหร่ายเกลียวทองมีวิตามินและเกลือแร่หลายชนิดและจำนวนมากที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายไม่ว่าจะเป็น วิตามิน บี1, วิตามินบี 2, วิตามินบี 3, วิตามินบี 5, วิตามินบี 6, วิตามินบี 12 และมีโครเมียมที่เป็นตัวสร้างวิตามินบี 12 นอกจากนั้นยังมีวิตามิน C, วิตามิน H, เบต้าแคโรทีน, ธาตุเหล็ก, สังกะสี, แคลเซียม, แมกนีเซียม, โฟเลต, วิตามินดี และแคโรทีนอยด์ ที่ย่อยง่ายและดูดซึมง่าย ซึ่งการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นทำให้ตับทำงานหนัก และระบบเผาผลาญก็ทำงานหนักกว่าปกติ ซึ่งการเผาผลาญแต่ละครั้งนั้นร่างกายจะสูญเสียวิตามินบีอย่างรวดเร็ว จึงมักจะทำให้เกิดอาการแฮงค์หรืออาการเมาค้างได้นั่นเอง ซึ่งถ้าร่างกายได้รับวิตามินบีอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะก่อนการดื่มและหลังการดื่ม ก็จะช่วยป้องกันอาการแฮงค์ได้
3. อุดมไปด้วยโปรตีนคุณภาพสูง
โปรตีนที่มีในสาหร่ายเกลียวทองนั้น มีมากถึง 70% และมีมากกว่าในแหล่งโปรตีนอื่น ๆ เช่น เนื้อสัตว์อีกด้วย และโปรตีนในสาหร่ายเกลียวทองยังเป็นโปรตีนที่ที่ปราศจากคอเรสเตอรอล จึงย่อยง่าย เพราะอาหารทุกชนิดที่เรารับประทานเข้าไปนั้นจะต้องถูกดูดซึมโดยเซลล์ของทางเดินอาหาร ซึ่งสาหร่ายเกลียวทองมีอัตราดูดซึมที่ดีเยี่ยมถึง 95.1% และมีอัตราการย่อยมากถึง 95% ซึ่งย่อยง่ายมากกว่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์ถึง 2 เท่า นั่นเพราะสาหร่ายเกลียวทองเป็นสาหร่ายหลายเซลล์ที่มีผนังเซลล์บางและถูกดูดซึมได้ง่าย จึงเป็นตัวช่วยในการดูแล ‘โรคตับอักเสบเรื้อรัง’ และ ‘โรคตับอักเสบรุนแรง’ อีกทั้งยังมีโปรวิตามินที่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติเพียงหนึ่งเดียวของ ‘ส่าหร่ายเกลียวทอง’ จึงไม่ได้แค่ช่วยบำรุงตับเท่านั้น แต่ยังช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายโดยรวมให้แข็งแรงอีกด้วย
4. มีกลูตาไธโอนที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์และ DNA ที่สึกหรอให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
คนชอบดื่มก็มักจะต้องนอนดึก อดหลับอดนอนไปโดยปริยาย และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นก็ยังทำให้ผิวพรรณเหี่ยวย่นง่ายก่อนวัยอีกด้วย ในสาหร่ายเกลียวทองมีกลูตาไธโอนที่ช่วยให้ร่างกายเสื่อมสภาพได้ช้าลง โดยเอนไซม์บางชนิดจะทำหน้าที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลายให้กลับมาทำงานได้ดีขึ้น และยังมีเบต้าแคโรทีนและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงไม่ได้ช่วยแค่บำรุงตับเท่านั้น แต่ยังช่วยให้สุขภาพผิวของคนนอนดึกแข็งแรง เปล่งปลั่ง และสดใสอยู่เสมออีกด้วย
5. มีเอนไซม์ที่ดีมากถึง 2,000 ชนิด โดยเอนไซม์ที่มีในสาหร่ายเกลียวทองเหล่านี้ มีคุณสมบัติช่วยย่อยอาหารทดแทนการขาดเอนไซม์จากเนื้อสัตว์ได้ นอกจากนั้น ยังมี ‘เอนไซม์ซุปเปอร์ออกไซค์ดิสมิวเทส’ ซึ่งเป็นเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง จึงทดแทนเอนไซม์จากเนื้อสัตว์ได้อย่างสมบูรณ์ จึงช่วยสร้างภูมิต้านทานและหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค และเอนไซม์บางชนิดที่มีในสาหร่ายเกลียวทองยังทำหน้าที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลายได้อีกด้วย จึงทั้งช่วยบำรุงตับ และบำรุงอวัยะอื่น ๆ ในร่างกายให้แข็งแรงขึ้นได้
6. มีกรดอะมิโนจำเป็นและสำคัญต่อร่างกาย 18 ชนิด ในสาหร่ายเกลียวทองมีกรดอะมิโนที่จำเป็นและคุณภาพสูงครบถ้วนถึง 18 ชนิด และมี ‘กรดไขมันแกรมม่าไลโนเลนิก’ (GLA) ที่ช่วยลดคอลเลสเตอรอลได้ถึง 170 เท่าของกรดไขมันที่มีในน้ำมันพืช จึงช่วยลดปริมาณคอเรสเตอรอลและตรีกลีเซอไรด์ในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการหลายชนิดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ธาตุเหล็ก, แคลเซียม, แมกนีเซียม และโพแทสเซียม รวมถึงกรดอะมิโนที่เรียงตัวกันอย่างสมดุลและได้สัดส่วนถึง 18 ชนิด จึงช่วยบำรุงตับ ฟื้นฟูตับ และช่วยลดอาการแฮงค์จากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ นอกจากนั้น ยังช่วยให้ระบบการทำงานภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยรักษาสมดุลภายในร่างกาย และช่วยควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
ได้มีการทดลองให้ ‘สาหร่ายเกลียวทอง’ กับผู้ป่วยโรคตับอักเสบชนิด A จำนวน 4 คน โดย 2 คนในจำนวนนี้เป็นโรคตับอักเสบชนิดรุนแรง อีก 2 คนเป็นโรคตับอักเสบชนิดเรื้อรัง และมีผู้ป่วยโรคตับอักเสบ B อีกจำนวน 2 คน ซึ่งเป็นโรคตับอักเสบชนิดรุนแรง รวมผู้ป่วยทั้งหมด 6 คน โดยทุกคนได้รับสาหร่ายเกลียวทองชนิด 500 มิลลิกรัม มื้อละ 3 เม็ด วันละ 3 มื้อ รวมจำนวน 9เม็ด/วัน หรือวันละ 4,500 มิลลิกรัม นอกจากการดูแลเรื่องอาหารที่ผู้ป่วยต้องได้รับสารอาหารที่ร่างกายต้องการตามแพทย์สั่งแล้ว ผู้ป่วยไม่ได้รับยาใด ๆ เพิ่มเติมอีกเลย ซึ่งผลการทดลองนี้ปรากฏว่า “การบำบัดด้วยสาหร่ายเกลียวทองทำให้ตับอักเสบฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว บางรายโรคตับอักเสบได้หายขาด และตับสามารถทำงานได้เหมือนเดิม หรืออย่างน้อยก็กลับมาอยู่ในระดับปกติได้” ซึ่งผู้ป่วยบางคนได้รับน้ำผักสด และสาหร่ายเกลียวทองวันละ 3,000-4,000 มิลลิกรัม ผลที่ได้รับคือ อาการทั้งภายนอกและภายในนั้นได้หายเป็นปกติอย่างรวดเร็ว นั่นจึงแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของสาหร่ายเกลียวทอง ที่สามารถให้ทั้งโปรตีนและวิตามินที่มีคุณภาพแก่ผู้ป่วยโรคตับได้ และโรคตับอักเสบนั้นสามารถป้องกันได้โดยการป้องกันเซลล์ตับไม่ให้ถูกทำลาย และสารอาหารในสาหร่ายเกลียวทองมีทั้งโปรตีนและวิตามินคุณภาพสูง จึงเหมาะที่จะเป็นอาหารเสริมเพื่อบำรุงรักษาตับนั่นเอง
และใน ‘สาหร่ายเกลียวทอง’ ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่ดีและมีคุณภาพสูงอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูและบำรุงอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงถูกยกย่องให้เป็น “อาหารที่ดีที่สุดทั้งในปัจจุบันและอนาคต” โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ที่ต้องการฟื้นฟูตับและบำรุงร่างกาย การรับประทานสาหร่ายเกลียวทองเป็นประจำจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน และสุขภาพร่างกายจะแข็งแรงอยู่เสมอ
4 สิ่งที่ไม่ควรทำหลังดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
โรงพยาบาลเปาโลโชคชัย 4 ให้ข้อมูลดี ๆ ถึง 4 สิ่งที่ไม่ควรทำหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไว้ว่า
1. ห้ามอาบน้ำทันที เพราะจะทำให้เมาหนักยิ่งกว่าเดิมนั่นเอง เพราะฉะนั้น เข้านอนทันทีดีกว่าลุกมาอาบน้ำ
2. ห้ามหลับยาว การหลับยาวหลังดื่มหนักจะทำให้เกิดอาการแฮงค์ได้ในตอนตื่นนอน ควรตื่นในเวลาปกติดีที่สุด
3. ห้ามเป่าพัดลม การเป่าพัดลมจะทำให้ร่างกายสูญเสียพลังงานความร้อนเร็วขึ้น ส่งผลให้ปวดศีรษะและที่น่ากลัวมากกว่า
นั้นก็คือ “เสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดสมองแตก” อีกด้วย
4. ห้ามกินยาแก้ปวด การกินยาแก้ปวดหัวก่อนเข้านอน หรือในขณะที่ร่างกายมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่มาก
จะส่งผลร้ายต่อตับได้