หน้าฝนอากาศจะเย็นลงและมีความชื้นเพิ่มสูงขึ้น ทำให้บรรดาเชื้อโรคร้ายแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น ซึ่งโรคที่พบบ่อยและต้องระวังในช่วงหน้าฝนก็มีอยู่หลายกลุ่มด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ‘กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ’ เช่น หวัด, ไข้หวัดใหญ่ ‘กลุ่มโรคติดต่อทางน้ำดื่มและอาหาร’ เช่น ท้องร่วง, ท้องเดิน, อาหารเป็นพิษ ‘กลุ่มโรคติดเชื้อทางบาดแผลและเยื่อบุผิวหนัง’ เช่น ตาแดง, โรคฉี่หนู ‘โรคมือเท้าปาก’ ซึ่งพบมากในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี และสุดท้าย ‘โรคที่มียุงเป็นพาหะ’ เช่น ไข้เลือดออก, โรคชิคุนกุนยา ซึ่งวันนี้เราจะมาคุยกันถึง ‘โรคชิคุนกุนยา’ หรือ ‘โรคไข้ปวดข้อยุงลาย’ ที่แพร่ระบาดหนักมากในช่วงหน้าฝน โดยเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค สามารถเป็นได้ทุกเพศ ทุกวัย แม้แต่ในเด็กเล็ก และแม้จะรักษาให้หายได้แต่ใครเป็นแล้วสุดแสนจะทรมาน
ชิคุนกุนยา คือโรคอะไร แพร่เชื้ออย่างไร?
โรคชิคุนกุนยา (Chikungunya) หรือ โรคไข้ปวดข้อยุงลาย มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสในตระกูล Togaviridae โดยมียุงลายสวน (Aedes albopictus) และยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) เป็นพาหะนำโรค ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนเป็นโรค ‘ไข้เลือดออก’ คือมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ตาแดง มีผื่นแดงขึ้นตามแขนขา ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และท้องเสีย แต่จะต่างกับไข้เลือดออกตรงที่ชิคุนกุนยาไม่มีพลาสมาหรือน้ำเลือดรั่วออกนอกเส้นเลือด จึงไม่มีอาการรุนแรงจนถึงขั้นช็อกได้ โรคนี้ไม่เลือกเพศและวัย ใครก็เป็นกันได้ รวมถึงคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์และป่วยเป็นชิคุนกุนยาก็สามารถถ่ายทอดไปยังทารกน้อยในครรภ์ได้ และแม้จะรุนแรงน้อยกว่าโรคไข้เลือดออก แต่ถ้าชิคุนกุนยาเกิดกับเด็กเล็กก็อาจจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและรุนแรงต่ออวัยวะสำคัญของร่างกายได้ เช่น ตับ, ไต และหัวใจ โดยชิคุนกุนยาสามารถติดต่อได้หลายทางด้วยกัน ผ่านยุงลายสวนและยุงลายบ้านที่มีเชื้อไวรัสชิคุนกุนยากัด และจะแพร่กระจายไวรัสไปยังคนถัด ๆ ไปที่ถูกยุงลายกัด โดยติดต่อผ่านทางเลือด ซึ่งรวมถึงการให้หรือรับเลือดที่มีเชื้อไวรัสนี้ด้วย ผู้ป่วยสามารถกระจายเชื้อไปสู่คนอื่นได้ถ้าโดนยุงกัดประมาณ 2-6 วันระหว่างที่กำลังป่วย
โรค ชิคุนกุนยา อาการเป็นแบบไหน?
แม้โรคชิคุนกุนยาจะไม่ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อเสียชีวิตและมีความรุนแรงน้อยกว่าโรคไข้เลือดออก แต่ไม่ใช่จะละเลยนะ เพราะในผู้ป่วยบางรายก็อาจจะมีอาการรุนแรงและสามารถรับเชื้อทั้งโรคชิคุนกุนยาและโรคไข้เลือดออกได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเมื่อครบระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสภายใน 3-7 วันแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการให้เห็นชัดเจนดังนี้

- มีไข้สูงเฉียบพลัน ซึ่งอาจจะขึ้นสูงถึง 40 องศาเซลเซียส หลังจากนั้น 2-3 วัน ไข้จะเริ่มลดลง
- ปวดตามข้อและเมื่อยกล้ามเนื้อ มีภาวะข้ออักเสบ ซึ่งจะพบในผู้ใหญ่มากกว่าในเด็ก แต่จะหายเองได้ภายใน 2 สัปดาห์ ในผู้ใหญ่ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปอาจมีภาวะปวดข้อเรื้อรังได้ ในบางรายอาจปวดยาวนานถึง 2 ปี
- เกิดผื่นแดงตามแขนขาหรือทั่วร่างกาย และตาแดง
- รับประทานอาหารไม่ได้
- คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ และนอนไม่ค่อยหลับ
- อ่อนเพลีย และอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย
- เกิดภาวะแทรกซ้อนได้เมื่อเป็นโรคชิคุนกุนยา
- ในกลุ่มผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ที่กำลังป่วยเป็นโรคข้ออักเสบ หรือมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น เป็นโรคความดันในเลือดสูง, โรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจอยู่แล้ว การติดเชื้อชิคุนกุนยาอาจจะส่งผลกระทบให้โรคเรื้อรังเดิมเกิดความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม จนถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

เป็น ชิคุนกุนยา แล้วควรปฏิบัติอย่างไร?
เรื่องสำคัญที่เราควรรู้คือ ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาไวรัสชิกุนคุนยาโดยเฉพาะ รวมถึงยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้ แพทย์จึงรักษาตามอาการของผู้ป่วยเป็นหลัก เช่น ให้ยาลดไข้, ยาแก้ปวด ซึ่งการวินิจฉัยโรคชิคุนกุนยานั้นแพทย์จะเริ่มต้นด้วยการซักประวัติและอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยก่อน หลังจากนั้นจะเจาะเลือดผู้ป่วยและส่งเข้าห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาเชื้อ โดยปกติจะรู้ผลว่าติดเชื้อชิคุนกุนยาหรือไม่ภายใน 1-2 วัน หรืออย่างช้าไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ ซึ่งเมื่อป่วยเป็นชิคุนกุนยาแล้วควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำนี้ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะรุนแรง
- ดื่มน้ำให้มาก ๆ อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำเด็ดขาด
- พักผ่อนให้เต็มที่
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และครบถ้วนตามหลักโภชนาการอาหาร 5 หมู่
- ถ้ามีไข้ให้รับประทานยาลดไข้ เช่น ยาพาราเซตามอล หลีกเลี่ยงการรับประทานยาลดไข้แอสไพริน (aspirin) หรือยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs (NSAIDS) เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดเลือดออก
- หากผู้ป่วยมียาเดิมที่ใช้รักษาโรคร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทำการรักษา
- ป้องกันการถูกยุงกัดในช่วงสัปดาห์แรกที่ได้รับเชื้อ เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถพบได้ในเลือดและจะส่งผ่านจากผู้ติดเชื้อโดยมียุงเป็นพาหะในช่วงเวลาดังกล่าวนั่นเอง
โรคชิคุนกุนยา ป้องกันได้ง่ายนิดเดียว!
อย่างที่รู้กันว่า โรคชิคุนกุนยานั้นเกิดจากการถูกยุงลายที่มีเชื้อกัด และเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ง่ายนิดเดียว เพียงแค่ใส่ใจกับสิ่งรอบ ๆ ตัวให้มากขึ้นเพื่อ “ป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด” โดยไม่ปล่อยให้บริเวณบ้านกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น
- เทน้ำออกจากภาชนะต่าง ๆ ที่มีน้ำขังอยู่ เช่น กาละมัง, จานรองใต้ไม้กระถาง, แจกัน และรางน้ำฝน เป็นต้น
- ภาชนะใส่น้ำที่ใช้ในบ้านที่ไม่สามารถเทน้ำทิ้งได้ เช่น อ่างเก็บน้ำ, แทงค์น้ำ ให้ปิดปิดหรือวัสดุคลุมให้มิดชิด
- การทิ้งขยะในบริเวณบ้าน ควรอยู่ในภาชนะที่ปิดได้ หรือปิดปากถุงพลาสติกทุกครั้งหลังการทิ้งขยะ รวมถึงไม่หมกหมมขยะเอาไว้หลายวันเกินไป รวมถึงพวกยางรถยนต์เก่า ๆ ก็ควรเก็บให้มิดชิด และไม่ควรเก็บในบริเวณใกล้บ้าน
- ใช้ยาฆ่าแมลงเพื่อฆ่ายุงที่โตเต็มที่หรือตัวอ่อนที่ยังไม่สมบูรณ์ โดยยุงที่ทำให้ติดเชื้อโรคชิคุนกุนยามักจะเป็นยุงที่กัดในตอนกลางวัน แต่ในเวลาใกล้ค่ำหรือเวลากลางคืนก็สามารถติดเชื้อชิคุนกุนยาได้เช่นกัน
- ควรสวมใส่เสื้อผ้าให้ทารกและเด็กเล็กอย่างมิดชิด รวมถึงฉีดสเปรย์กันยุงที่ใช้กับผิวหนังได้ (ยกเว้นในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 เดือน) และไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงที่มีส่วนประกอบของน้ำมันยูคาลิปตัส หรือพาราเมนเทนไดออล (para-menthane-diol) ในเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 3 ปี
- ในผู้ใหญ่ก็ควรใส่ใจสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด ไม่เปิดเผยผิวหนัง เช่น เสื้อแขนยาว, กางเกงขายาว และควรใช้สเปรย์ป้องกันยุงหรือยาทากันยุงอยู่เสมอ (ให้เลือกสเปรย์ที่สามารถฉีดลงบนผิวหนังได้) และถ้าใช้ครีมกันแดด ควรทาครีมกันแดดก่อนแล้วจึงใช้สเปรย์กันยุงฉีดตามลงไป รวมถึงให้สเปรย์กันยุงหรือทายากันยุงไปบนเสื้อผ้าด้วยเลย
- ปิดประตูและหน้าต่างที่อยู่อาศัยให้สนิท ถ้ามีเครื่องปรับอากาศให้เปิดแทนการเปิดหน้าต่าง
- การติดตั้งอุปกรณ์ หรือฉากกั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ยุงบินเข้ามาในตัวบ้านหรือตัวอาคาร ที่พักอาศัย
- ควรกางมุ้งที่เคลือบด้วยยากันยุงในขณะที่นอนตอนกลางวัน
- หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่มีการระบาดของโรคชิคุนกุนยา และหากเลี่ยงไม่ได้ควรสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิดและใส่มุ้งกันยุงรอบหน้าและบริเวณคอ โดยเฉพาะการอยู่กลางแจ้งหรือในพื้นที่ ๆ มียุงชุม และยาทากันยุงและสเปรย์กันยุงร่วมด้วยทุกครั้ง
- ถ้าติดเชื้อโรคชิคุนกุนยาแล้วก็ต้องป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกยุงกัด เพราะจะแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้
- ผู้ป่วยที่ที่ติดเชื้อโรคชิคุนกุนยา จะมีความเสี่ยงสูงของภาวะต่าง ๆ ภายในสัปดาห์แรกที่เกิดอาการป่วย
ถึงแม้โรคชิกุนคุนยาจะไม่ทำอันตรายถึงชีวิต และเป็นโรคที่มีความรุนแรงน้อยกว่าโรคไข้เลือดออก แต่ก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตได้มากเช่นกัน โดยเฉพาะในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันโรคต่ำ เช่น เด็กและผู้สูงอายุ ที่ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ยากแก่การรักษาได้ เพราะฉะนั้น การใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีคุณภาพครบถ้วนตามหลักโภชนาการอาหาร 5 หมู่, นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและถูกสุขลักษณะ, หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงรักษาอารมณ์ให้แจ่มใส่และสมดุล และถ้ารู้สึกไม่สบาย มีไข้สูง รู้สึกเบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ตามกล้ามเนื้อ ปวดศรีษะ ฯลฯ ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโรคและรักษาได้อย่างถูกวิธี ทันท่วงที และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
‘บุญสมฟาร์ม สาหร่ายเกลียวทอง’ อยากเห็นทุกคนมีสุขภาพดี และมีความสุข